วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559
ใบงานที่ 5 บทความที่น่าสนใจ
ดาวพฤหัส (Jupiter)
ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์แก๊ส
หลายๆท่านอาจจะสงสัยมันคืออะไร
ดาวเคราะห์แก๊สก็คือดาวที่เป็นหินเหมือนโลกเรานี้แหละ แต่ว่ามีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นมาก
สมมติว่าโลกของเรา มีชั้นบรรยากาศที่หนามากๆ หนาสัก 10เท่า 20เท่าของขนาดโลก
นั่นคือดาวเคราะห์แก๊ส (นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นแบบนี้
เพราะว่าของจริงยังไม่มีการสำรวจได้ถึงแก่นดาว เพราะความดันสูงมาก)
ภายในของดาวพฤหัส
ดาวพฤหัสนั้นโคจรอยู่ที่ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ ประมาณ 5.2 หน่วยดาราศาสตร์
"1หน่วยดาราศาสตร์ ( Astronomical Unit , A.U. ) มีค่าเท่ากับระยะห่างจากดวงอาทิตย์มากยังโลก
โดยเฉลี่ย มีค่า 149.598 ล้านกิโลเมตร "
ด้วยระยะห่างจากดวงอาทิตย์ขนาดนี้
พลังงานที่ดาวพฤหัสได้รับ นั้น น้อยมาก จึงทำให้แก๊สที่ระเหยง่าย ในอุณหภูมิสูง
ไม่ระเหยไปในอวกาศ สามารถรวมตัวกันได้ โดยดาวพฤหัส นั้น มีขนาดที่ใหญ่มาก
ใหญ่แค่ไหน ก็แค่ถ้าดาวพฤหัสบดี เป็นกล่อง กล่องใบนั้นจะสามารถใส่โลกลงไปได้ถึง
1,300 ใบ
ด้วยความใหญ่โตขนาดนี้ ดาวดวงนี้จึงมีมวลมากกว่า
2 เท่า ของดาวเคราะห์อื่นๆ มารวมกันซะอีก
ชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี
-ประกอบไปด้วย แก๊สไฮโดรเจน ประมาณ75% และ
แก๊สฮีเลียม ประมาณ25%
จากองค์ประกอบที่เห็นแล้วจะเห็นได้ว่าดาวพฤหัสของเรา คล้ายกับ ดวงอาทิตย์มาก
-เนื่องจาก ดาวพฤหัสเป็นดาวเคราะห์แก๊ส
จึงไม่มีการวัดผิวดาวได้อย่างแน่นอนเท่าไร เราจึงให้บริเวณยอดเมฆ (Cloud
Tap) บริเวณนี้เราได้นิยามไว้ว่า เป็นบริเวณ
ที่มีความดัน 1 บรรยากาศ(ความดันบนผิวโลก)เป็นตัวนิยาม ผิวของดาวพฤหัส
-โดยในตำแหน่งผิวดาวดาวพฤหัสมีอุณหภูมิ 125
เคลววิน หรือ -148 องศาเซลเซียส และหนาแน่น ประมาณ 0.0002 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร
-จากนิยาม 1บาร์ที่เราใช้
เราจะประมาณค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพฤหัสได้ประมาณ 140,000 กิโลเมตร
-นอกจาก ไฮโดรเจน และฮีเลียม ข้างต้น
เป็นส่วนประกอบของชั้นบรรยกาศแล้ว ยังมี มีเทน แอมโมเนีย แอมโมเนียม ไฮโดรซัลไฟด์
และน้ำ เป็นองค์ประกอบย่อยๆ ทำให้เราเห็นดาวพฤหัสมีสีสันต่างๆ
-บนชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัส
นั้นมีกระแสลมที่พัดแรงมากๆ หลายบริเวณของดาว อาจจะมีความเร็วลมสูงถึง 650
กิโลเมตร/ชั่วโมง
*เนื่องจากดาวพฤหัสบดีหมุนรอบตัวเองเร็งขนาดนี้
ทำให้ดาวพฤหัสนั้นมีลักษณะทรงกลมแป้น คือวัดจาก ขั้วเหนือจนถึงขั้วใต้ ได้ระยะ
133,708 กิโลเมตร แต่วัดที่เส้นศูนย์สูตรได้ถึง 142,984 กิโลเมตร
ต่างกับเกือบพันกิโลเมตร
แกนกลางของดาวพฤหัสอาจเป็นหินแข็งซึ่งมีมวลประมาณ
10 ถึง 15 เท่าของมวลของโลก
ดาวพฤหัสปลดปล่อยพลังงานออกสู่จักรวาลมากกว่าที่รับจากดวงอาทิตย์
ภายในดาวพฤหัสมีอุณหภูมิสูง ที่แกนกลางอาจมีอุณหภูมิสูงถึง 20,000 K ความร้อนนี้ได้จากกระบวนการ
Kelvin-Helmholtz ซึ่งเป็นแรงดึงดูดของดาวเคราะห์
ความร้อนของดาวพฤหัสไม่ได้เกิดจากกระบวนการนิวเคลียฟิวชัน (nuclear
fussion) เช่นที่เกิดในดวงอาทิตย์
เนื่องจากดาวพฤหัสมีขนาดเล็กเกินไปและความร้อนภายในแกนกลางมีอุณหภูมิต่ำเกินกว่าที่จะจุดระเบิดปฏิกิริยานิวเคลีย
ความร้อนภายในดาวอาจเกิดจากการหมุนเวียนภายในชั้นที่เป็นของเหลว
และเป็นตัวที่ทำให้เกิดการเคลื่อนที่อย่างซับซ้อนที่สังเกตเห็นได้จากเมฆชั้นบน
ดาวพฤหัสเป็นเพียงดาวกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่
ถ้ามีวัตถุเพิ่มเติมเข้าไป ดาวพฤหัสอาจเกิดการหดตัวเนื่องจากแรงดึงดูด
และรัศมีอาจเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ดวงดาวสามารถขยายตัวได้เพราะพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นภายในดวงดาว มีสนามแม่เหล็กความเข้มสูงกว่าสนามแม่เหล็กโลก
magnetosphere ขยายตัวออกไปมากกว่า 650 ล้านกิโลเมตร
ดาวบริวารของดาวพฤหัสอยู่ภายใต้ magnetosphere ซึ่งอาจเป็นคำอธิบายที่ดีกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบน
Io
ลักษณะเด่น
-จุดแดงใหญ่ (The Great Red Spot) โดยจุดแดงนี้ ค้นพบโดย แคสสินี (Cassini)
นักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศษ โดยจุดแดงนี้เป็นพายุรูปวงรี ขนาด 12,000
x 25,000 กิโลเมตร หรือประมาณ ใหญ่กว่าโลก 2เท่า
โดยพายุนี้พัดมานานกว่า 300 ปีแล้ว โดยนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า
เหตุใดพายุจึงมีขนาดใหญ่ขนาดนี้ แถมยังพัดมานานมากแล้วด้วย
แต่อย่างไรก็ตามจากการสังเกต 120ปีที่ผ่าน พบว่า จุดแดงนี้มีขนาดลดลงเรื่อยๆ บางที
จุดแดงนี้อาจจะหายไปในที่สุดก็เป็นได้
ภาพจุดแดงใหญ่
บนผิวดาวพฤหัส
บริวารของดาวพฤหัสบดี
หรือที่รู้จักกันในนาม ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ (กาลิเลียน)
กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilel) เป็นนักวิทยาศาสตร์
ชาวอิตาลี ที่เกิดในยุคที่ ศาสนาจักร บอกว่าโลกเป็นศูนย์ของจักรวาล แน่นอน
กาลิเลโอไม่ได้เช่นนั้น ในปี ค.ศ. 1610 เขาได้ใช้กล้องโทรทรรศน์
ส่องศึกษาดูดาวครั้งแรก ไปพบกับ
ดวงจันทร์ทั้ง4 ดวงนี้ หลังจากนั้น เขาก็ติดตาม ดูดาวทั้ง 4นี้ ทำให้พบว่า
ดาวทั้ง4 ดวงนี้ โคจรรอบดาว พฤหัส แน่นอน เขาก็เลยสรุปว่า
โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล อย่างแน่ๆ เพราะอย่างน้อยก็มีดวงจันทร์ถึง
4ดวงที่โคจรรอบดาวพฤหัส แทนที่จะโคจรรอบโลก แต่ความคิดที่ขัดแย้งกับศาสนจักร
นี้ทำให้ชีวิตกาลิเลโอ ต้องพบกับความเดือดร้อนไปตลอดชีวิต
ดวงจันทร์ ของดาวพฤหัสนั้นไม่ได้มีแค่4ดวง
แต่ว่า ดวงจันทร์4ดวงนี้ เป็นดวงจันทร์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดและมี
ลักษณะที่น่าสนใจอยู่
*ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์มีดวงจันทร์เป็นบริวารเยอะที่สุด
เนื่องจากมันมีมวลมากที่สุด ทำให้วัตถุ
ถูกดูดเข้ามาโคจรรอบดาวพฤหัสได้มากที่สุด
ดวงจันทร์ ทั้ง 4ดวง มีอะไรบ้าง ได้แก่ แกนิมีด(Ganymede) คัลลิสโต(Callisto)
ไอโอ(IO) ยูโรปา(Europa) เรียงตามลำดับขนาดของดวงจันทร์
แกนิมีด(Ganymede)
เป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัส
และเป็นดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของระบบสุริยะด้วย อยู่ห่างจากดาวพฤหัส ประมาณ
1ล้านกิโลเมตร มีขนาด 5,262 กิโลเมตร ใหญ่กว่าดาวพุธเสียอีก จากการสำรวจดวงจันทร์ดวงนี้ มีเพียงแค่รายงานจาก
ยานกาลิเลโอ ในปี ค.ศ. 1996 เท่านั้น
โดยข้อมูลที่ยานกาลิเลโอส่งมานั้นเป็นเป็นภาพถ่ายในระยะ 7,448
กิโลเมตรจากผิวดาวเท่านั้น
จากข้อมูลพบว่า แกนิมีด เย็นตัวลงแล้ว
จึงไม่พบปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาบนดาวดวงนี้ แต่จะพบแค่หลุมอุกกาบาต เต็มไปหมด
และยังพบ ร่องรอยที่เป็นเส้นขนาน บริเวณที่สว่างของดาวดวงนี้ด้วย
รอยเส้นบนแกนิมีด
คัลลิสโต
(Callisto)
อยู่ห่างจากดาวพฤหัส ประมาณ 1.9 ล้านกิโลเมตร
มีขนาด 4,800 กิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก แกนิมีด
มีลักษณะคล้ายกับแกนิมีด แต่คาดว่าในอดีต
คัลลิสโตน่าจะเคยเกิดปรากฏการ์ณทางธรณีมากกว่า แกนิมีด
ปัจจุบันเรามีข้อมูลเกี่ยวกับ คัลลิสโตน้อยมาก มีแค่ภาพถ่ายที่ได้จาก
ยานกาลิเลโอในปี ค.ศ. 2001 เท่านั้น
ไอโอ
(IO)
อยู่ห่างจาก ดาวพฤหัส ประมาณ 420,000 กิโลเมตรเองเท่านั้น
มีขนาด 3,630 กิโลเมตร
ไอโอเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวในระบบสุริยะ
ที่ยังมีภูเขาไฟ ระเบิดอยู่ สาเหตุที่ไอโอยังร้อนอยู่ ก็เพรา แรงไทดัล ที่ดาวพฤหัสกระทำต่อไอโอ เนื่องจากไอโออยู่ใกล้ดาวพฤหัสมาก
แรงไทดัลที่กระทำต่อไอโอ นั้นรุนแรงมาก เนื่องจาก ดาวพฤหัสมีแรงดึงดูดที่เยอะ
ทำให้แรงไทดัลนั้น สามารถดึงให้แผ่นเปลือกโลกขยับได้ เลยที่เดียว
กลไกที่เกิดขึ้นบนไอโอนี้ คล้ายกับน้ำขึ้น-น้ำลงบนโลก
ที่เกิดจากแรงไทดัลของดวงจันทร์กระทำต่อโลก
แต่ว่าดาวพฤหัสมีแรงดึงดูดเยอะกว่าดวงจันทร์เรา ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นบนไอโอ ไม่ใช่แค่น้ำขึ้นน้ำลง
แต่เป็นการบิดเบี้ยวของแผ่นเปลือกดาวเลยทีเดียว
ในภาพที่เห็นคือ
เปลวจากภูเขาไฟ โลกิ (Loki) ที่พ่นเศษวัตถุจนเห็นได้ชัดในอวกาศ
ยูโรปา
(Europa)
อยู่ห่างจากดาวพฤหัส ประมาณ 680,000 กิโลเมตร
มีขนาด 3,138 กิโลเมตร
โดยผิวของยูโรปานั้น เป็นน้ำแข็งที่มีลักษณะ
เรียบมาก มีเนินเขาสูงเล็กน้อย มีหลุมอุกกาบาตเพียงเล็กน้อย แสดงว่า
ผิวของยูโรปานั้นค่อนข้างที่จะใหม่ และยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอด จนถึงปัจจุบัน
จากรูปจะเห็นได้ว่า
ใต้ผิวของยูโรปาเป็นมหาสมุทรขนาดใหญ่ใต้น้ำแข็งที่ผิว ทำไมใต้ผิวน้ำแข็งถึงเป็นน้ำได้ล่ะ
นั้นก็เพราะว่า แรงไทดัล ของดาวพฤหัส
ถึงแม้ระยะห่างของยูโรปานั้นจะห่างจากดวงอาทิตย์มาก จนที่ทำให้น้ำที่มีแข็งได้เลย
แต่ในจังที่ยูโรปาหมุนรอบตัวเองนั้น ด้านๆหนึ่งก็จะโดน ดาวพฤหัสดึงไป
ทำให้เกิดการบิดเบี้ยว ภายใน ทำให้น้ำแข็งมันร้อน และกลายเป็นน้ำนั้นเอง
ดาวพฤหัสบดีก็มีวงแหวนแต่วงแหวนของดาวพฤหัสนั้น
บาง และไม่สะท้อน มาก เหมือนกับของดาวเสาร์ จึงสังเกตได้ยากจากการมองจากผิวโลก
ภาพวงแหวนของดาวพฤหัส
ถ่ายโดยยานกาลิเลโอ ที่ระยะห่าง 2.3 ล้านกิโลเมตรจากวงแหวน ถ่ายเมื่อวันที่ 8
พฤศจิกายน ค.ศ. 1996
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)











